สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ซากเมืองโบราณอายุเกือบ 300 ปีซึ่งจมอยู่ใต้เขื่อนขนาดใหญ่ทางตอนเหนือของฟิลิปปินส์ ได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง หลังประเทศเผชิญสภาพอากาศร้อนจัดอุณหภูมิแตะ 50 องศา ภัยแล้งจัด จนน้ำเหือดแห้ง นักท่องเที่ยวแห่เข้าชม
โดยนายมาร์ลอน ปาลาดิน วิศวกรกำกับดูแลของสำนักงานชลประทานแห่งชาติ กล่าวว่า ซากปรักหักพังที่ปรากฏขึ้นกลางเขื่อนปันตาบางัน ในจังหวัดนูเอวาเอซีจา
หลังภูมิภาคนี้กำลังเผชิญสภาพอากาศร้อนจัด แทบไม่มีฝนตกมานานหลายเดือนทำให้ซากโบสถ์ ป้ายศาลากลาง และป้ายหลุมศพโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง กลายเป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว
ตามรายงานของสื่อเผยว่า หลังการสร้างเขื่อนทางตอนเหนือของฟิลิปปินส์ในช่วงทศวรรษ 1970 ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งหลังระดับน้ำลดลง เนื่องมาจากภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อหลายพื้นที่ในประเทศ
โดยนายปาลาดิน ระบุข้อมูลเพิ่มเติมว่า นับเป็นครั้งที่ 6 แล้วที่ซากเมืองปันตาบางันอายุเกือบ 300 ปี ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง นับตั้งแต่มีการสร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อจัดหาน้ำชลประทานให้กับเกษตรกรในท้องถิ่น ซึ่งกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม
จากรายงานพยากรณ์อากาศของรัฐบาล ระบุว่า ระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำลดลงเกือบ 50 เมตร จากระดับสูงสุดปกติที่ 221 เมตรโดยปกติแล้วเดือนมีนาคม-พฤษภาคมจะเป็นช่วงที่ร้อนและแห้งแล้งที่สุดของประเทศ ทำให้โรงเรียนหลายแห่งในประเทศต้องปิดโรงเรียน หลังเผชิญสภาพอากาศที่เลวร้ายจากปรากฏการณ์เอลนีโญ
ขณะเดียวกัน ทางการระบุว่า นักท่องเที่ยวที่ต้องการชมซากปรักหักพังอย่างใกล้ชิด ต้องจ่ายเงินประมาณ 300 เปโซหรือราว 193 บาทให้กับชาวประมงเพื่อนั่งเรือไปยังเกาะเล็กๆ ที่อยู่กลางอ่างเก็บน้ำ
อย่างไรก็ตาม ตามรายงานของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาฟิลิปปินส์ เผยว่า ในช่วง 5 วันที่ผ่านมา เมืองมูโนซที่ตั้งอยู่ใกล้เขื่อน มีดัชนีความร้อนสูงกว่า 41.1 องศา ส่วนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา อุณหภูมิได้พุ่งขึ้นเป็น 47 องศา เนื่องจากมีปัจจัยอื่นๆ
ในเดือนเมษายนฟิลิปปินส์ยังคงเผชิญความแห้งแล้งทั่วประเทศ โดยบางส่วนของภาคกลางและภาคใต้ของเกาะลูซอน มีปริมาณน้ำฝนน้อยกว่า 25% ที่ควรได้รับในช่วงเวลานี้
นอกจากนี้ ตามรายงานระบุอีกว่า รูปแบบสภาพภูมิอากาศของปรากฏการณ์เอลนีโญทำให้สภาวะเหล่านั้นเลวร้ายลง นอกเหนือจากภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากฝีมือของมนุษย์